Bookmark and Share Add to Favorites

แก่นตะวัน นักวิชาการ คอนเฟิร์ม

 


          “ในบรรดาพืชอาหารช่วยลดความอ้วนที่คนไทยรู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็นหัวบุก เม็ดแมงลัก หญ้าหมาน้อย เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว คุณสมบัติสู้แก่นตะวันไม่ได้เลย”

           ดร.ครรชิต จุดประสงค์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปผลการวิจัยถึงคุณประโยชน์ของ “แก่นตะวัน” พืชตัวใหม่ที่คนไทยเพิ่งรู้จักมา 4-5 ปีนี่เอง

           พืชชนิดนี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้จัก ไม่คุ้นชื่อ เพราะไม่ใช่พืชประจำถิ่นของประเทศไทย ด้วย “แก่นตะวัน” เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตหนาวของอเมริกาเหนือ มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Jerusalem artichoke หรือ Sunchoke และมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Helianthus tuberosus  เป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 1.5-2.0 เมตร มีขนคล้ายหนามกระจายทั่วลำต้น ใบคล้ายต้นสาบ มีดอกสีเหลืองคล้ายดอกบัวตอง...มีหัวเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินคล้ายขิง ข่า รสชาติหวานมันคล้ายมันแกวแต่มีความกรุบกรอบเหมือนฝรั่ง

           คุณประโยชน์มีรอบด้าน ทำได้ทั้งอาหารสัตว์ อาหารลดความอ้วนควบคุมไขมันสำหรับคน รวมทั้งเป็นพืชพลังงานทดแทน ที่สามารถนำไปผลิตเป็นเอทานอลได้

         “เมื่อ 15 ปีที่แล้ว รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์ประจำภาควิชาพืชศาสตร์และทรัพยากรการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์  มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้เป็นผู้ริเริ่มนำ เข้ามาทดลองปลูกในเมืองไทย เพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรไทย” นำเข้ามาทดลองปลูกหลายสายพันธุ์ มีทั้งจากอเมริกา ยุโรป แอฟริกา และได้พัฒนาสายพันธุ์ให้สามารถปลูกได้ในสภาพอากาศแบบเมืองไทยจนเป็นผลสำเร็จ

         ด้วยเป็นพืชที่มีต้นตระกูลใกล้ชิดกับทานตะวัน และทั้งที่เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว นำมาปลูกทดลองที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ยังมีความแข็งแกร่ง สามารถปรับตัวเจริญเติบได้ดี จึงได้ตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “แก่นตะวัน”

         นอกจากจะสามารถปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ขุดเหง้าหัวขึ้นมาขายทำเงินได้แล้ว ยังมีดอกที่สวยงาม สามารถสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยว แบบเดียวกับทุ่งทานตะวัน ทุ่งดอกบัวตองได้อีกต่างหาก แต่เนื่องจากเป็นพืชชนิดใหม่ ที่ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์ให้เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเรา

         คุณสมบัติในด้านโภชนาการ ช่วยลดความอ้วน จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่...ทางสถาบันวิจัยโภชนการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ดร.ครรชิต จุดประสงค์ จึงเข้ามารับหน้าที่ศึกษาวิจัยต่อ

         ผลปรากฏว่า “แก่นตะวัน” ผ่านการปรับปรุงสายพันธุ์เป็นไทย ยังคงมีสรรพคุณช่วยลดความอ้วนได้เหมือนเดิม และยังเหนือกว่าพืชหลายชนิดที่คนไทยเคยรู้จัก

        “แม้แก่นตะวันจะเป็นพืชที่มีหัวอุดมไปด้วยแป้ง คาร์โบไฮเดรต เหมือนพืชมีหัวทั่วไป แต่แป้งในหัวแก่นตะวันเป็นแป้งที่ไม่ธรรมดา ไม่เหมือนแป้งในหัวมันอย่างอื่น ที่กินไปแล้วร่างกายจะย่อยสลายดูดซึมเข้าไปสะสมเป็นไขมันทำให้อ้วน เพราะแป้งในหัวแก่นตะวันมีอินนูลินและฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์ ร่างกายย่อยสลายดูดซึมไม่ได้ มันทำให้แป้งของแก่นตะวัน กลายเป็นใยอาหารที่เข้าไปช่วยทำความสะอาด เก็บกวาดของเสียในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี กินเข้าไปแล้วรู้สึกอิ่มและขับถ่ายได้ดี”

         เพื่อให้เข้าใจถึงระบบการทำงานของแป้งใยอาหารของแก่นตะวันลดความอ้วนได้ อย่างไร ดร.ครรชิต อธิบายว่า สาเหตุอ้วนมาจากกินอาหารประเภทแป้งน้ำตาลเข้าไปสะสมในร่างกายเยอะมาก โดยเฉพาะบริโภคสารความหวาน “กลูโคส” จากแป้ง “ฟรุคโตส”จากผลไม้ “ซูโครส”ที่ได้จากน้ำตาลทราย...สารความหวานจากแหล่งเหล่านี้ มีโมเลกุลสั้น ร่างกายสามารถย่อยสลายดูดซึมเข้าไปสะสมในร่างกายได้

         แต่ถ้าเจอสารความหวานที่เป็นโมเลกุลสั้นๆ แต่จับตัวเรียงแถวเป็นสายยาวตั้งแต่ 3-10 ตัว ที่มีชื่อเรียกว่า “ฟรุคโตโอลิโกแซคคาไรด์...ร่างกายจะย่อยสลายไม่ได้และถ้ายิ่งเป็นสารความหวานที่มีโมเลกุลสั้นเข้าแถวเรียงตัวกันเป็นสายยาว 10-60 ตัว มีชื่อเฉพาะเรียกว่า “อินนูลิน” ร่างกายของคนเรายิ่งจะดูดซึมได้ยากเข้าไปใหญ่ และยังจะเป็นใยอาหารชั้นดีที่ช่วยกวาดล้าง สารพิษ สิ่งแปลกปลอม สารก่อมะเร็งที่เรากินเข้าไปและตกค้างในระบบทางเดินอาหาร ให้ถูกขับถ่ายออกไปได้เป็นอย่างดี มีผลช่วยบรรเทาอาการท้องผูก และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้

        ถ้าคุณสมบัติมีแค่นี้ เป็นแค่ใยอาหาร ดร.ครรชิต บอกว่า แก่นตะวันแทบจะไม่มีอะไรดีเด่น น่าสนใจสักเท่าไร เพราะจะไม่ต่างอะไร กับหัวบุก เม็ดแมงลัก และหญ้าหมาน้อย ที่คนไทยรู้จักกัน...แต่แก่นตะวันมีคุณสมบัติมากกว่านั้น และเป็นอะไรที่พืชลดความอ้วนอย่างอื่นไม่มี

       “เพราะหลังจากถูกกัดเคี้ยวกลืนให้เข้าไปอยู่ในกระเพาะ และไปย่อยสลายให้ร่างกายดูดซึมในลำไส้เล็กจนกลายเป็นใยอาหารแล้วถูกบีบให้ ไหลขับเคลื่อนไปสู่ลำไส้ใหญ่ เตรียมขับถ่ายเป็นอุจจาระ มาถึงขั้นนี้ ถ้าเป็นพืชใยอาหารลดความอ้วนอย่างอื่น หน้าที่และประโยชน์ของมันจะหมดและจบลงเพียงแค่นี้ แต่แก่นตะวันนั้น มาถึงลำไส้ใหญ่มันยังมีฤทธิ์ มีประสิทธิภาพทำงานให้กับร่างกายได้อีก”เนื่องจากปกติลำไส้ของคนเราจะมีภาวะเป็นด่าง มีค่า pH 7-8 เป็นภาวะที่แบคทีเรียไม่ดี แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคเจริญเติบโตได้ดี แต่พอกากใยอาหารของแก่นตะวันตกมาถึงลำไส้ใหญ่ สิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น...ทำให้ภาวะลำไส้ใหญ่ที่เป็นด่างจะกลายเป็นกรด อย่างอ่อน มีค่า pH อยู่ที่ 3–5

        ดร.ครรชิต อธิบายว่า ภาวะอย่างนี้มีผลดีต่อร่างกาย การเป็นกรดอย่างอ่อนจะช่วยทำลายแบคทีเรียก่อให้เกิดโรคล้มหายตายจากไปแล้ว ยังจะทำให้จุลินทรีย์ที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactabacillus) ไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacterium) เจริญเติบโตได้ดี

        นอกจากจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นแล้ว สิ่งที่พิเศษสุดๆ แก่นตะวันยังช่วยให้ลำไส้ใหญ่สามารถดูดซึมแร่ธาตุสำคัญจำพวก แคลเซียมและเหล็ก จากกากอาหารได้อีกด้วย ดูดซึมได้ถึง 2 ครั้ง ทั้งในลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ จากที่ปกติ

ดูดซึมได้เฉพาะที่ลำไส้เล็กเท่านั้นเอง

นี่แหละความมหัศจรรย์ของแก่นตะวัน...ที่พืชลดความอ้วนชนิดอื่นไม่มี

และเหนืออื่นใด...ยังเป็นพืชปลูกง่ายให้หัวเร็ว ปลูก 3-4 เดือน ดอกบานแล้วโรย ถอนต้นขุดราก ล้างเหง้าให้สะอาด หักกัดกินดิบๆ สดๆ...ไม่ต้องปอกผิวออก ก็ยังกินได้

กินไม่หมด เก็บใส่ตู้เย็น จะเก็บไว้กินดิบๆ เอาไว้ทำกับข้าว ต้มผัดแกงทอด หรือเอาไว้ทำพันธุ์ปลูกต่อก็ยังได้

ในขณะที่หัวบุก เม็ดแมงลัก หญ้าหมาน้อย...ทำอย่างนี้ไม่ได้

ต้องยุ่งยากทำให้สุกก่อนถึงจะโซ้ยลดอ้วนได้

แก่นตะวัน...ปลูกเอง ขุดเอง กินเองได้ ลดอ้วนแบบพอเพียงไม่ต้องพึ่งใคร.

 
 
ที่มาอ้างอิง
http://www.thairath.co.th/today/view/194082
บทความอื่นๆ ในหมวดเดียวกัน